กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีเด็กน้อยน่ารักคนหนึ่งถือกำเนิดขึ้นในเขตมณฑลที่คนทั่วสารทิศขนานกันว่า
“เมืองแห่งเจดีย์ใหญ่” แต่ไม่นานมานี้ได้ถูกขนานนามใหม่ให้ว่า “เมืองธูปล้ม”
เกิดได้สักสองสามวันผมก็ถูกพิพากษาจากบุคคลหนึ่งที่มีความรู้ในศาสตร์เหนือธรรมชาติว่า
“ปิยะณัฐ” ผนวกกับสิ่งที่ติดตัวผมมาตั้งแต่ผมเริ่มเข้าสู่กระบวนการปฏิสนธิว่า
“ทองมูล”
ผมเกิดในครอบครัวที่พ่อและแม่ประกอบอาชีพรับราชการครู
ด้วยความเป็นครูนี้เอง พ่อและแม่จึงมีภาระหน้าที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว โดยส่วนตัวผมได้เรียนรู้คำว่า
“ครูคนแรก” มาตั้งแต่วันเด็ก
เพราะนอกจากจะเป็นผู้ปกครองที่ทำหน้าที่คอยเลี้ยงดูทั้งสภาพร่างกายและจิตใจของลูกแล้วยังทำหน้าที่เป็น ครูสอนหนังสือด้วยตนเองอีกด้วย
เมื่ออายุครบเกณฑ์เรียนหนังสือ
ผมได้ย้ายเข้ามาเรียนโรงเรียนเฉพาะทางสไตล์กินนอนย่านใจกลางเมืองหลวงอันศิวิไล
บริเวณใกล้เคียงมีสถาปัตยกรรมแห่งชัยชนะตั้งตระหง่านเป็นเครื่องชูเกียรติ
เมื่อพ้นวัยปฐม
ผมได้มีโอกาสเรียนต่อในโรงเรียนมัธยมศึกษาที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงบริเวณถนนพระรามหกติดกับพรรคการเมืองเก่าแก่มีอายุมากกว่าหนึ่งชั่วอายุคนแห่งหนึ่ง
ในช่วงเวลานี้ดูเหมือนว่าผมเริ่มมีความคิดเรื่อง อนาคตเพิ่มมากขึ้น
มีความรู้สึกว่าตนเองมีความถนัดด้านไหน และมีความอ่อนแอด้านใด
ผมเลือกเรียนสายศิลป์-ฝรั่งเศสในระดับ ม. ปลาย
ผมเรียนจบหลักสูตรกับผลการเรียนที่ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรนัก
ใครๆก็ว่าเรียนดีก็ต้องสามขึ้น ผมก็เข้าเกณฑ์มาตรฐานนั้นเหมือนกันครับ คือ
จบมามีผลการเรียนเฉลี่ย 3.5 เท่านั้นเองครับ
จบ ม.
หกก็ลุ้นตัวโก่งว่าจะมีสำนักไหนเปิดประตูต้อนรับผมต่อไปบ้าง
ผลแห่งการรอคอยก็สมใจนึก “คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปิน-ศิลปะแห่งชาติ” ได้อ้าแขนรับผมเป็นศิษย์ด้วยความเต็มใจ
ความรู้สึกสี่ปีที่ผ่านไปไวเหมือนโกหก
“เราต้องไปเผชิญโลกแห่งความจริงแล้วหรือ...”
หลักจากเรียนจบไม่นานนัก
ผมได้ทำงานฝ่ายดูแลลูกค้ากับธนาคารเอกชนย่านสาธรอยู่ 2 ปี ชีวิตใน 2 ปีนี้ผมรู้สึกถึงความเหน็ดเหนื่อยทั้งกำลังกายและจิตใจ
รู้สึกว่าตนเองเข้าใจคำว่า “มนุษย์เงินเดือนมากขึ้น” ที่เช้าตื่นไปทำงานตกเย็นกลับบ้านด้วยความเหนื่อยอ่อน เพื่อแลกกับความสุขอันไกลลิบที่อยู่ท้ายเดือน
เงินเดือนที่สูงแพงใครๆก็ปรารถนาครับ
แต่สำหรับผมคิดว่านอกจากเงินเดือนแล้ว การได้ใช้ความรู้เพื่อช่วยผู้อื่นให้พวกเขามีชีวิตรอด ในสังคมที่มีความหลากหลายทางชีวภาพจะทำให้ผมรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่ามากกว่านี้
ในท้ายที่สุดผมตัดสินใจเลือกเรียนในสิ่งที่ผมรู้สึกถนัดและสามารถนำไปใช้ตามความตั้งใจได้จริง
เมื่อพิจารณาดีแล้วจึงเห็นสมควรฝากฝังอนาคตของตนเองกับสถาบันแม่แบบทางการศึกษาอันเป็นรากฐานที่หยั่งลึกแก่วงการการศึกษาไทย
นั่นก็คือ “คณะศึกษาศาสตร์ แขนงวิชาการศึกษาพิเศษ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ”
แห่งนี้ครับ

