วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

อาร์ม




กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กน้อยน่ารักคนหนึ่งถือกำเนิดขึ้นในเขตมณฑลที่คนทั่วสารทิศขนานกันว่า “เมืองแห่งเจดีย์ใหญ่” แต่ไม่นานมานี้ได้ถูกขนานนามใหม่ให้ว่า “เมืองธูปล้ม”


เกิดได้สักสองสามวันผมก็ถูกพิพากษาจากบุคคลหนึ่งที่มีความรู้ในศาสตร์เหนือธรรมชาติว่า “ปิยะณัฐ” ผนวกกับสิ่งที่ติดตัวผมมาตั้งแต่ผมเริ่มเข้าสู่กระบวนการปฏิสนธิว่า “ทองมูล”

ผมเกิดในครอบครัวที่พ่อและแม่ประกอบอาชีพรับราชการครู ด้วยความเป็นครูนี้เอง พ่อและแม่จึงมีภาระหน้าที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว โดยส่วนตัวผมได้เรียนรู้คำว่า “ครูคนแรก” มาตั้งแต่วันเด็ก เพราะนอกจากจะเป็นผู้ปกครองที่ทำหน้าที่คอยเลี้ยงดูทั้งสภาพร่างกายและจิตใจของลูกแล้วยังทำหน้าที่เป็น ครูสอนหนังสือด้วยตนเองอีกด้วย

เมื่ออายุครบเกณฑ์เรียนหนังสือ ผมได้ย้ายเข้ามาเรียนโรงเรียนเฉพาะทางสไตล์กินนอนย่านใจกลางเมืองหลวงอันศิวิไล บริเวณใกล้เคียงมีสถาปัตยกรรมแห่งชัยชนะตั้งตระหง่านเป็นเครื่องชูเกียรติ

เมื่อพ้นวัยปฐม ผมได้มีโอกาสเรียนต่อในโรงเรียนมัธยมศึกษาที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงบริเวณถนนพระรามหกติดกับพรรคการเมืองเก่าแก่มีอายุมากกว่าหนึ่งชั่วอายุคนแห่งหนึ่ง   ในช่วงเวลานี้ดูเหมือนว่าผมเริ่มมีความคิดเรื่อง อนาคตเพิ่มมากขึ้น มีความรู้สึกว่าตนเองมีความถนัดด้านไหน และมีความอ่อนแอด้านใด

ผมเลือกเรียนสายศิลป์-ฝรั่งเศสในระดับ ม. ปลาย ผมเรียนจบหลักสูตรกับผลการเรียนที่ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรนัก ใครๆก็ว่าเรียนดีก็ต้องสามขึ้น ผมก็เข้าเกณฑ์มาตรฐานนั้นเหมือนกันครับ คือ จบมามีผลการเรียนเฉลี่ย 3.5 เท่านั้นเองครับ

จบ ม. หกก็ลุ้นตัวโก่งว่าจะมีสำนักไหนเปิดประตูต้อนรับผมต่อไปบ้าง ผลแห่งการรอคอยก็สมใจนึก “คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปิน-ศิลปะแห่งชาติ” ได้อ้าแขนรับผมเป็นศิษย์ด้วยความเต็มใจ

ความรู้สึกสี่ปีที่ผ่านไปไวเหมือนโกหก “เราต้องไปเผชิญโลกแห่งความจริงแล้วหรือ...”

หลักจากเรียนจบไม่นานนัก ผมได้ทำงานฝ่ายดูแลลูกค้ากับธนาคารเอกชนย่านสาธรอยู่ 2 ปี ชีวิตใน 2 ปีนี้ผมรู้สึกถึงความเหน็ดเหนื่อยทั้งกำลังกายและจิตใจ รู้สึกว่าตนเองเข้าใจคำว่า “มนุษย์เงินเดือนมากขึ้น” ที่เช้าตื่นไปทำงานตกเย็นกลับบ้านด้วยความเหนื่อยอ่อน เพื่อแลกกับความสุขอันไกลลิบที่อยู่ท้ายเดือน

เงินเดือนที่สูงแพงใครๆก็ปรารถนาครับ แต่สำหรับผมคิดว่านอกจากเงินเดือนแล้ว การได้ใช้ความรู้เพื่อช่วยผู้อื่นให้พวกเขามีชีวิตรอด ในสังคมที่มีความหลากหลายทางชีวภาพจะทำให้ผมรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่ามากกว่านี้

ในท้ายที่สุดผมตัดสินใจเลือกเรียนในสิ่งที่ผมรู้สึกถนัดและสามารถนำไปใช้ตามความตั้งใจได้จริง   เมื่อพิจารณาดีแล้วจึงเห็นสมควรฝากฝังอนาคตของตนเองกับสถาบันแม่แบบทางการศึกษาอันเป็นรากฐานที่หยั่งลึกแก่วงการการศึกษาไทย นั่นก็คือ “คณะศึกษาศาสตร์ แขนงวิชาการศึกษาพิเศษ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ” แห่งนี้ครับ